วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

การจับโดยพนักงานสอบสวน

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
                "มาตรา ๑๓๔  เมื่อผู้ต้องหาถูกเรียก หรือส่งตัวมา หรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเอง หรือปรากฏว่าผู้ใดซึ่งมาอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ต้องหา ให้ถามชื่อตัว ชื่อรอง ชื่อสกุล สัญชาติ บิดามารดา อายุ อาชีพ ที่อยู่ ที่เกิด และแจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทําที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทําผิด แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ทราบ            
                      การแจ้งข้อหาตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทําผิดตามข้อหานั้น        
                      ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม                
                      พนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้ข้อหาและที่จะแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้
                      เมื่อได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ถ้าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้ถูกจับและยังไม่ได้มีการออกหมายจับ แต่พนักงานสอบสวนเห็นว่ามีเหตุที่จะออกหมายขังผู้นั้นได้ตามมาตรา ๗๑ พนักงานสอบสวนมีอํานาจสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาลเพื่อขอออกหมายขังโดยทันที  แต่ถ้าขณะนั้นเป็นเวลาที่ศาลปิด หรือใกล้จะปิดทําการ ให้พนักงานสอบสวนสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาลในโอกาสแรกที่ศาลเปิดทําการ กรณีเช่นว่านี้ให้นำมาตรา ๘๗ มาใช้บังคับแก่การพิจารณาออกหมายขังโดยอนุโลม หากผู้ต้องหาไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของพนักงานสอบสวนดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนมีอํานาจจับผู้ต้องหานั้นได้ โดยถือว่าเป็นกรณีจําเป็นเร่งด่วนที่จะจับผู้ต้องหาได้โดยไม่มีหมายจับ และมีอํานาจปล่อยชั่วคราว หรือควบคุมตัวผู้ต้องหานั้น"
                ข้อพิจารณา.-  การแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดตาม ม.๑๓๔ วรรคหนึ่ง เป็นบทบังคับเด็ดขาด หากพนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ผู้ต้องหาทราบก่อนแจ้งข้อหา ย่อมเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา ๑๒๐
                        - ในการแจ้งข้อหา กรณีมีคำร้องทุกข์หรือคำกล่าวโทษ แต่ยังไม่มีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำผิด หากผู้นั้นมาอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนสามารถใช้ดุลยพินิจไม่แจ้งข้อหาแก้ผู้นั้นได้
                       -  กรณีที่ผู้ต้องหามาอยู่ต่อหน้า ถ้าไม่ใช่ผู้ถูกจับและยังไม่ได้มีการออกหมายจับ กฎหมายให้อำนาจพนักงานสอบสวนสามารถใช้ดุลยพินิจที่จะดำเนินการเกี่ยวกับการควบคุมหรือไม่ควบคุมผู้ต้องหาก็ได้  กล่าวคือ
                           วิธีแรก เมื่อได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว พนักงานสอบสวนมีเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี(หรือไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัว) หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น พนักงานสอบสวนสามารถสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาลเพื่อขอออกหมายขังโดยทันที เว้นแต่ เป็นเวลาที่ศาลปิดหรือใกล้จะปิดทำการ พนักงานสอบสวนจะต้องสั่งให้ผู้ต้องหาไปยังศาลในโอกาสแรกที่ศาลเปิดทำการ โดยไม่สามารถสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาลในวันอื่นได้ ซึ่งศาลก็จะพิจารณาสั่งขังตามมาตรา ๘๗ ต่อไป
                           วิธีที่สอง พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ไม่มีการควบคุม และไม่มีการขออำนาจศาลออกหมายขัง แต่พนักงานสอบสวนจะนัดให้ผู้ต้องหามาพบอีกครั้ง เพื่อส่งตัวพร้อมสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการต่อไปตาม ป.วิ.อ. ม.๑๔๒ วรรคสาม  
                          มาตรา ๗๑  เมื่อได้ตัวผู้ต้องหาหรือจําเลยมาแล้ว ในระยะใดระหว่างสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา ศาลจะออกหมายขังผู้ต้องหาหรือจําเลยไว้ตามมาตรา ๘๗ หรือมาตรา ๘๘ ก็ได้ และให้นําบทบัญญัติในมาตรา ๖๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
                          มาตรา ๘๗  ห้ามมิให้ควบคุมผู้ถูกจับไว้เกินกว่าจําเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี ฯลฯ
                          มาตรา ๖๖   เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้
                             (๒)  เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น
                                     ถ้าบุคคลนั้น ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัว ให้สันนิษฐานว่า บุคคลนั้นจะหลบหนี
                        -   กรณีมีการจับผู้ต้องหาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เช่น ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำผิดซึ่งหน้าเจ้าพนักงานตำรวจ แต่เมื่อมีเจ้าพนักงานผู้จับนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนพร้อมด้วยบันทึกการจับกุมแล้ว พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาลเพื่อขอออกหมายขังได้ตาม มาตรา ๑๓๔ วรรคห้า เพราะการจับผู้ต้องหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมถือได้ว่า ผู้ต้องหานั้นไม่ใช่ผู้ถูกจับและไม่ใช่ผู้ถูกควบคุม ทั้งยังไม่ได้มีการออกหมายจับ แต่มีเหตุที่จะออกหมายขังตามมาตรา ๗๑ และมาตรา ๖๖ (๒) ได้
                       -  กรณีผู้ต้องหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานสอบสวนที่ให้ไปศาลในวันที่ศาลเปิดทำการ พนักงานสอบสวนมีอำนาจจับกุมโดยไม่ต้องมีหมายจับ โดยกฎหมายให้ถือว่าเป็นกรณีจําเป็นเร่งด่วน และมีอํานาจปล่อยชั่วคราว หรือควบคุมตัวผู้ต้องหานั้น ทั้งนี้ ควรจะต้องมีหลักฐานว่าผู้ต้องหารับทราบวันนัดนั้นด้วย
                       -  อำนาจจับกุมตามมาตรา ๗๘ พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจจับกุมในฐานะเจ้าพนักงานตำรวจด้วยเช่นกัน กรณีมีหมายจับ หรือจับตามข้อยกเว้น เช่น เหตุซึ่งหน้า น่าจะก่อเหตุร้าย มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอหมายจับได้ทัน หรือจับผู้ต้องหาที่หนีหรือจะหนีในระหว่างปล่อยชั่วคราว (คลิกที่นี่)

การจับโดยพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
                 หมายจับ ตาม มาตรา ๒ (๙) เป็นหมายอาญาอย่างหนึ่ง
                “หมายอาญา” หมายความถึง หนังสือบงการที่ออกตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ สั่งให้เจ้าหน้าที่ทำการจับ ขัง จำคุก หรือปล่อยผู้ต้องหา จำเลย หรือนักโทษ หรือให้ทำการค้น รวมทั้งสำเนาหมายจับหรือหมายค้นอันได้รับรองว่าถูกต้อง และคำบอกกล่าวทางโทรเลขว่า ได้ออกหมายจับหรือหมายค้นแล้ว ตลอดจนสำเนาหมายจับหรือหมายค้นที่ได้ส่งทางโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น ทั้งนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๗๗
                มาตรา ๗  ในการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาคดีที่นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย ให้ออกหมายเรียกผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคลนั้น ให้ไปยังพนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณี
                ถ้าผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก จะออกหมายจับผู้นั้นมาก็ได้ แต่ห้ามไม่ให้ใช้บทบัญญัติว่าด้วยปล่อยชั่วคราว ขัง หรือจำคุกแก่ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคล ในคดีที่นิติบุคคลนั้นเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย
                มาตรา ๖๘  หมายจับคงใช้ได้อยู่จนกว่าจะจับได้ เว้นแต่ความผิดอาญาตามหมายนั้นขาดอายุความ หรือศาลซึ่งออกหมายนั้นได้ถอนหมายคืน
                มาตรา ๗๗  หมายจับให้ใช้ได้ทั่วราชอาณาจักร  การจัดการตามหมายจับนั้น จะจัดการตามเอกสารหรือหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ก็ได้
                  (๑) สำเนาหมายอันรับรองว่าถูกต้องแล้ว
                  (๒) โทรเลขแจ้งว่าได้ออกหมายแล้ว
                  (๓) สำเนาหมายที่ส่งทางโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
                  การจัดการตาม (๒) และ (๓) ให้ส่งหมายหรือสำเนาอันรับรองแล้วไปยังเจ้าพนักงานผู้จัดการตามหมายโดยพลัน
                 มาตรา ๓๓  ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่ จะได้ทําตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน   (โดยหลักแล้ว จับในที่รโหฐาน จะกระทำไม่ได้)
                 มาตรา ๙๒  ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้น และในกรณีดังต่อไปนี้
                     (๑)  เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วยมาจากข้างในที่รโหฐาน หรือมีเสียงหรือพฤติการณ์อื่นใดอันแสดงได้ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นในที่รโหฐานนั้น
                     (๒)  เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากําลังกระทําลงในที่รโหฐาน
                     (๓)  เมื่อบุคคลที่ได้กระทําความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไปหรือมีเหตุอันแน้นแฟ้นควรสงสัยว่าได้เข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น
                     (๔)  เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยการกระทําความผิด หรือได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อจะใช้ในการกระทําความผิด หรืออาจเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์การกระทำความผิดได้ซ่อนหรืออยู่ในนั้น ประกอบทั้งต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่า เนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายหรือทําลายเสียก่อน
                    (๕)  เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับ หรือจับตามมาตรา ๗๘
                    การใช้อํานาจตาม (๔)  ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจผู้ค้น ส่งมอบสําเนาบันทึกการตรวจค้น และบัญชีทรัพย์ที่ได้จากการตรวจค้น รวมทั้งจัดทําบันทึกแสดงเหตุผลที่ทําให้สามารถเข้าค้นได้เป็นหนังสือให้ไว้แก่ผู้ครอบครองสถานที่ที่ถูกตรวจค้น แต่ถ้าไม่มีผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้น ให้ส่งมอบหนังสือดังกล่าวแก่บุคคลเช่นว่านั้นในทันทีที่กระทําได้ และรีบรายงานเหตุผลและผลการตรวจค้นเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป