วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กรณีไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2535/2550
ป.อ. มาตรา 138
ป.วิ.อ. มาตรา 80, 195
               คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยกระทำผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีและใช้อาวุธปืนเข้าลักษณะฉกรรจ์ ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีหรือใช้อาวุธปืน การกระทำของจำเลยไม่เข้าลักษณะฉกรรจ์และพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคแรก โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
             ในวันเกิดเหตุเมื่อนาย บ. พบกองไม้กระยาเลยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายอันเป็นไม้ผิดกฎหมายวางกองอยู่ข้างบ้านนาง ว. และนาง ว. รับว่ามีไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง การกระทำของนาง ว. ไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าเพราะไม่ใช่ความผิดที่เห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าได้กระทำผิดมาแล้วสด ๆ ไม่เข้าข้อยกเว้นความผิดที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80 วรรคสอง (1) (2)
              ดังนั้น นาย บ. ไม่มีอำนาจที่จะจับนาง ว. โดยไม่มีหมายจับได้ การที่นาง ว. ตามนาย บ. มาที่หน่วยคุ้มครองป่าจึงไม่ใช่เป็นการถูกจับตัวมา แม้ในเวลาต่อมาจำเลยจะขับรถยนต์มาที่หน่วยคุ้มครองป่าและรับนาง ว. ขึ้นรถยนต์ของจำเลยขับออกจากหน่วยคุ้มครองป่าไป นาย บ. ติดตามจำเลยไปจนทันและเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันขึ้นระหว่างจำเลยและนาย บ. ยังไม่เป็นการที่จำเลยต่อสู้หรือขัดขวางนาย บ. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน
              คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 แต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ฐานช่วยเหลือผู้อื่นให้ไม่ต้องรับโทษ ซึ่งเป็นเรื่องนอกฟ้องและโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษจึงลงโทษตามมาตรา 189 ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 และ 191 เนื่องจากโจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยหลังจับกุมก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 ได้ อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4243/2542
               จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมผู้เสียหายที่ได้ก่อการทะเลาะวิวาทก่อนหน้านั้น แต่เหตุแห่งการทะเลาะวิวาทได้ยุติลงแล้ว เหตุวิวาทยังไม่ชัดแจ้งว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด ไม่ใช่การกระทำผิดซึ่งหน้า โดยมีคู่กรณีกับผู้เสียหายชี้ให้จับ แต่มิได้ร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบ
               อีกทั้ง ไม่ใช่กรณีที่มีเหตุสงสัยว่ากระทำความผิดมาแล้วจะหลบหนี จำเลยซึ่งไม่มีหมายจับ ไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะจับผู้เสียหาย จำเลยจับผู้เสียหายโดยไม่แจ้งข้อหาไม่ทำบันทึกจับกุม ไม่ส่งมอบตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี กลับนำไปควบคุมที่ด่านตรวจ ชี้เจตนาจำเลยว่ากระทำโดยโกรธแค้น แสดงอำนาจ เพื่อข่มขู่กลั่นแกล้งผู้เสียหายให้เดือดร้อนเสียหาย
               การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องรุนแรงต่อความรู้สึกของประชาชนไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  46/2482
ป.อ. มาตรา 120
ป.วิ.อ. มาตรา 78, 80
              จำเลยได้รับเรือซึ่งถูกผู้ร้ายลักไปโดยจำเลยรู้ว่าเป็นของร้าย กำนันไปตรวจค้นและจับเรือของกลางซึ่งซ่อนไว้ได้แล้วกำนันไปจับตัวจำเลย ๆ ใช้หอกต่อสู้แต่ทำร้ายกำนันไม่ได้ และกล่าวคำด่าว่ากำนัน
             ดังนี้ จำเลยไม่มีความผิดตาม ม.120 ในเวลาที่ไปตรวจค้นและจับของกลางไม่ใช่เวลาที่จำเลยกระทำผิดซึ่งหน้าตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ม.80 กำนันจึงไม่มีอำนาจจับกุมตาม ม.78 เพราะกำนันไม่มีหมายจับ ไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า และจะริบหอกของกลางไม่ได้