อุทาหรณ์ เจ้าพนักงานป่าไม้ออกตรวจท้องที่บริเวณป่าภายในเขตอุทยานแห่งชาติ มาถึงบ้านพักที่เกิดเหตุของผู้ต้องหา พบไม้หวงห้ามแปรรูป ปริมาตรเกิน ๐.๒๐ ลบ.ม. กองอยู่บริเวณใต้ถุนบ้านของผู้ต้องหา จากการสอบถามผู้ต้องหาแล้วรับสารภาพว่าเป็นของตนเองที่ซื้อมาจากชาวบ้านและเก็บไว้เพื่อจะสร้างบ้าน โดยไม่มีรอยตราหรือดวงตราของเจ้าพนักงานตีประทับ และผู้ต้องหาไม่ได้รับอนุญาตให้มีไม้แปรรูปไว้ในครอบครอง
เจ้าพนักงานป่าไม้ แจ้งข้อหาว่า "ทำไม้หรือทำด้วยประการใด ๆ แก่ไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต มีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองเกิน ๐.๒๐ ลบ.ม. และทำไม้หรือทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติ" ชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ
ในชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับชั้นจับกุม
ในชั้นตรวจสำนวนการสอบสวน พนักงานอัยการ เห็นว่า การกระทำผิดในข้อหา "ทำไม้หรือทำด้วยประการใด ๆ แก่ไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำไม้หรือทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติ" ต้องมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า ผู้ต้องหาได้มีการทำไม้ เช่น ร่องรอยการตัด ฟัน โค่น เลื่อย ชักลาก หรือนำไม้ออกจากป่า อันจะถือได้ว่าเป็นการทำไม้ตามกฎหมาย หากไม่ปรากฏพฤติการณ์ดังกล่าว เพียงแต่พบว่า ไม้ของกลางถูกแปรรูปมาก่อนเรียบร้อยแล้วและวางอยู่ใต้ถุนบ้านเท่านั้น พยานหลักฐานย่อมไม่เพียงพอที่จะฟ้องข้อหาดังกล่าวได้ ย่อมฟ้องได้แต่เฉพาะข้อหา "มีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองเกิน ๐.๒๐ ลบ.ม." ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๕, ๖, ๗ , ๔๗, ๔๘, ๗๓, ๗๔
เมื่อพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องบางข้อหา และสั่งไม่ฟ้องบางข้อหา ในข้อหาที่สั่งไม่ฟ้อง ในต่างจังหวัด(ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) ก็ต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมด้วยความเห็นไปยัง ผบช. หรือ รอง ผบช. เพื่อพิจารณาต่อไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๕/๑ เพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑๕/๒๕๕๗ ลง ๒๑ ก.ค.๒๕๕๗
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๓๔ "เมื่อผู้ต้องหาถูกเรียก หรือส่งตัวมา หรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเอง หรือปรากฏว่าผู้ใดซึ่งมาอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ต้องหา ให้ถามชื่อตัว ชื่อรอง ชื่อสกุล สัญชาติ บิดามารดา อายุ อาชีพ ที่อยู่ ที่เกิด และแจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิด แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ทราบ
การแจ้งข้อหาตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำผิดตามข้อหานั้น"
มาตรา ๑๒๐ "ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน"
ข้อพิจารณา.- กฎหมายให้อำนาจพนักงานสอบสวนใช้ดุลยพินิจในการแจ้งข้อหา ว่าจะต้องมีหลักฐานตามสมควร แม้ว่าผู้จับจะแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบมาก่อน แต่เมื่อส่งตัวมาให้พนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนต้องใช้ดุลยพินิจพิจารณาพยานหลักฐานว่ามีตามสมควรว่าน่าจะได้กระทำผิดตามข้อหานั้นหรือไม่ แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบ ถ้ามีการแจ้งข้อหาและสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนแล้ว พนักงานอัยการจึงจะมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาล
ตามอุทาหรณ์ พนักงานป่าไม้แจ้งข้อหาในชั้นจับกุมโดยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ เมื่อส่งตัวผู้ต้องหามาให้พนักงานสอบสวนแล้ว ในชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อปรากฎเป็นที่ประจักษ์ชัดในเบื้องต้นแล้วว่า ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอตามสมควร ที่จะแจ้งข้อกล่าวหาเช่นเดียวกันกับผู้จับได้ ทุกข้อหาหรือบางข้อหา พนักงานสอบสวนสามารถใช้ดุลพินิจแจ้งข้อหาที่มีพยานหลักฐานตามสมควร ให้แก่ผู้ต้องหาทราบและทำการสอบสวนเฉพาะข้อหานั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อหาทั้งหมดตามที่ผู้จับกุมได้แจ้งไว้ หากแต่ในชั้นสรุปสำนวนการสอบสวน พนักงานสอบสวนต้องมีความเห็นทางคดีในกรณีที่แจ้งข้อหาแตกต่างจากที่ผู้จับกุมด้วย